ยุทธวิธีในการปล่อยวาง |
2 สิงหาคม 2550 16:44 น. |
ปล่อยวาง หมายความว่าความไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ติด ไม่หลง ไม่เกาะเกี่ยวในสิ่งใด คือ จิตเราที่ไม่ไปผูกติดกับทิฐิใด เรื่องใด สิ่งใด เหตุการณ์ใด อันจะนำให้จิตของเรานั้นหนักหน่วงกับมัน ไม่มีที่สิ้นสุด ฉะนั้น การปล่อยวางจึงเป็นการปฏิบัติที่นำไปสู่ความสุขขั้นสุดยอด จิตเราจะอิสรเสรีอย่างยิ่ง สอดคล้องกับพระไตรปิฎกที่ว่า สัพเพธัมมานาลังอภินิเวสายะ" ธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น การปฏิบัติศีลย่อมเป็นฐานของปัญญาหากเราผิดศีล จะทำให้เราด่างพร้อย ศีลเป็นตัวกำกับกาย วาจา และศีล ส่งผลถึงใจให้มีการปล่อยวาง ไม่ปล่อยปละละเลย ในทางพุทธศาสนาชาวพุทธจงเข้าถึง "สามไตร" คือ๑.ไตรสรณคมณ์ - พระพุทธพระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งของเรา ๒.ไตรสิกขาศีลสมาธิ ปํญญา ขยายไปสู่สัมมาอริยมรรคองค์ ๘ และ ๓.ไตรลักษณ์อนิจจังทุกขัง อนัตตา เห็นความไม่เที่ยงของกิเลส ความไม่เที่ยงของสิ่งต่างๆ ทั้งภายนอก และภายในจะได้ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรมากนัก สิ่งที่ไม่ควรละเลยอย่างยิ่งคือ ท่านจะต้องเริ่มต้นที่ศีล และต้องมีปัญญากำกับด้วยว่าเรามีอินทรีย์ พละ อยู่ในระดับไหน และเราควรจะสมาทานศีลในระดับใด เช่น เรามีอินทรีย์พละอยู่ในระดับศีล ๕ เราก็สมาทานศีล๕ หากเราข้ามไประดับศีล๘ ก็จะกลายเป็นเตี้ยอุ้มค่อมผอมอุ้มอ้วน แขนด้วนอุ้มแขนดี มันเกินกำลัง หากกำลังเรามีอยู่ในระดับศีล๘ แต่เราสมาทานศีล๕ ก็เหมือนกับรถยนต์ที่กำลังแรงมากแต่เอามาวิ่งช้า ก็ใช้ประโยชน์ได้ไม่เต็มที่ คนที่กำลังอยู่ในระดับสูง แต่กลับทำอยู่ในระดับต่ำต่อไปๆ มันจะไม่มีปีติเพียงพอที่จะขับเคลื่อนไปข้างหน้า แล้วต่อไปจะต่ำลง ถ้าเราปฏิบัติธรรมแล้วต้องปฏิบัติให้ยิ่งๆขึ้นไป ถ้าหยุดจมนิ่งอยู่กับที่ก็จะเสื่อม ในพระไตรปิฎก กล่าวว่า "อภิตถะเรถะ กัลยาเณ ปาปาจิตตัง นิวาระเย ทันทังหิกระระโตปุญยัง ปาปัสสะมิงระมะตีมะโน" พึงรีบเร่งกระทำความดีและพึงห้ามจิต เสียจากความชั่ว เพราะถ้าเราทำความดีช้าไป ใจจะยินดีในความชั่ว ท่านจันทร์ |
__________________
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น